ตงศิริฟาร์ม เป็นฟาร์มเกษตรแบบผสมผสาน มีเนื้อที่ทั้งหมด 30 ไร่ แบ่งเป็นทำนา 3 ส่วน / เลี้ยงสัตว์ 4 ส่วน / ทำสวน 3 ส่วน การทำเกษตรของที่นี่จะยึดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและตั้งอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก

เพราะเราทำเกษตรด้วยสองมือ และหัวใจของเกษตรกร

  กว่าจะมาเป็นเกษตรกร : เด็กกรุงเทพฯคนหนึ่ง ที่ทำงานออฟฟิต ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เงินเดือนออก ก็สังสรรค์ ปาร์ตี้ เดินห้าง ซื้อของตามปกติ เงินเดือนเกือบหลักแสน แทบไม่มีเหลือเก็บ วันหนึ่งเกิดเบื่อชีวิตที่เป็นวัฏจักรแบบนี้ อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองตามประสาคนหนุ่มสาวไฟแรง จึงเอาเงินเก็บที่พอมี ส่งตัวเองไปถึงจีนแผ่นดินใหญ่นาน 1 ปี หวังเพื่อจะได้พบกับโอกาสทางธุรกิจดีๆ

  ชีวิตพลิกจากการตั้งใจเป็นนักธุรกิจมาเป็นเกษตรกร เกิดจากการใช้ชีวิตในประเทศจีนทุกวัน ทำให้สังเกตเห็นว่า โลกธุรกิจทุกวันนี้มีการแข่งขันสูงมาก รวมถึงประเทศไทย จึงทำให้แทบไม่เหลือพื้นที่สำหรับพ่อค้าหน้าใหม่อย่างเรา เมื่อเราฉุกคิดขึ้นได้ว่า แทนที่จะนำของจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทย กลับกลายเป็นประเทศเรามีอะไรดี ที่ทำให้เรามีความมั่นคง ที่จะเลี้ยงดูตัวเอง และครอบครัวได้ คำว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ประโยคนี้ก็เกิดขึ้นในความคิดทันที ผลลัพธ์ที่ได้ คือ การดำเนินตามรอย คำสอนของพ่อ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสานปณิธานและความตั้งใจ นายอุกฤษณ์ จึงเลือกศึกษาต่อใน ปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร เพื่อต้องการหาความรู้ความเข้าใจของเกษตรจากทฤษฎีก่อนที่จะเข้ามาลงมือทำเกษตร ในปี 2559  โดยสิ่งแรกที่ตงศิริฟาร์มเริ่มต้นคือ การทำนาข้าวหอมมะลิ ปลอดสารพิษ แต่ก็มาประสบปัญหาวิกฤตภัยแล้งอย่างหนัก ทำให้ต้องหัดมาทำปศุสัตว์ขนาดเล็ก คือ การเลี้ยงเป็ดไข่และไก่ไข่อารมณ์ดี (เลี้ยงปล่อยอิสระ) และสุดท้ายคือเพิ่มการปลูกผักปลอดสารพิษ มาจนถึงปัจจุบัน

เกษตรกร
นายอุกฤษณ์ อภิวัฒนานนท์
79 ม.3 ต.ทุ่งคอก อ.สองพี่น้องจ.สุพรรณบุรี 72110
094-1684944

การศึกษา
ปริญญาตรี : คณะอินเตอร์ สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
ปริญญาโท : คณะเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร มหาวิทยาลัยกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน

ประวัติการทำงาน : อดีตนายหน้าซื้อขายสัญญาล่วงหน้าทองคำ  ในตลาดหลักทรัพย์ (Gold Future)

กว่าจะมาเป็นฟาร์มเกษตรปลอดสารพิษ

พื้นที่แต่เดิม เป็นพื้นที่ใช้ปลูกนาข้าวที่มีการใช้สารเคมีทั้งยาฆ่าแมลงและยาฆ่าหญ้ามายาวนาน เมื่อตงศิริฟาร์มได้เข้ามาในพื้นที่นี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเพื่อคืนสู่วิถีธรรมชาติ โดยสิ่งสำคัญที่เราทำเป็นอันดับแรก ไม่รอช้าคือ การหยุดใช้ยาฆ่าหญ้าและศัตรูพืช จากนั้นจึงค่อยๆลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงตามลำดับ รวมถึงการหมัก และปรุงดินของเราเอง เพื่อใช้ในการเพาะปลูก

ปัญหาศัตรูพืช และแมลงรบกวน อันเกิดจากการทำเกษตรปลอดสารพิษ การทำน้ำหมักสูตรเฉพาะของเราที่ปลอดภัยทั้งคนและสัตว์ โดยใช้วัสดุที่มีภายในฟาร์ม หมั่นฉีดพ่นให้กับพืชผักอยู่เสมอ รวมถึงน้ำหมักนี้ยังนำไปละลายน้ำดื่ม เพื่อให้แม่ไก่อารมณ์ดีกิน ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติอีกด้วย และการทดลองทำโรงเรือนกันแมลงต้นแบบจากวัสดุมือสอง สำหรับผักที่น้ำหมักไม่สามารถต้านทานแมลงได้

น้ำแล้งบางฤดูกาล ทำให้ขาดแคลนน้ำหมุนเวียนภายในฟาร์ม ทั้งการทำสวน-ทำนา เรามีการนำโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ของพ่อ มาประยุกต์ใช้ โดยการขุดบ่อกักเก็บน้ำ และทำร่องสวนรอบพื้นที่เพาะปลูก โดยมีพื้นที่น้ำเป็น 60%ของพื้นที่ทั้งหมด น้ำที่สูบเข้ามาจะถูกพักและบำบัดไว้ในร่องสวน ก่อนสูบขึ้นมารดน้ำ และดันเข้าบ่อกักเก็บน้ำ ที่ไว้สำหรับเลี้ยงปลาเบญจพรรณ และใช้สำรองเพื่อทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี

ไม่มีตลาดรองรับ ไม่มีที่วางจำหน่ายผลผลิต ต้องขายส่งคนกลางตามราคาผักตลาดทั่วไป สร้างแบรนด์ให้น่าเชื่อถือ และสร้างตลาดของเราเอง โดยใช้โซเชียลมีเดีย 2 ช่องทางหลัก คือ Facebook Page และ Line@ ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี และขายได้ราคาสูง เป็นช่องทางหลักที่เราสามารถรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า และสามารถวางแผนการผลิตในรอบถัดไปได้

กว่าจะเป็นที่รู้จักและไว้วางใจของผู้บริโภค

เพราะเราเชื่อว่า สินค้าและผลผลิตที่ดี จะย่อมขายตัวเองได้เสมอ เราจึงทุ่มเทในการผลิตผลผลิตจากฟาร์มที่มีคุณภาพ สด สะอาด และปลอดภัย ส่งตรงถึงมือลูกค้า (FARM TO TABLE) จากแรกเริ่มที่มีลูกค้าแค่ไม่กี่คน ก็เพิ่มเป็นสิบ และร้อยคน ภายในเวลาไม่นาน โดยเคล็ดลับ 2 ข้อหลักๆคือ

  • ผลผลิตที่ดี มีคุณภาพ
  • ความซื่อสัตย์ และความจริงใจต่อลูกค้า

  พื้นที่การทำสวนหลักๆของเรา คือ 9 ไร่ แต่ทำจริงๆเต็มพื้นที่ไม่ถึง 3 ไร่ แต่สามารถสร้างรายได้ให้กับตงศิริฟาร์มคิดเป็น 60% ของรายได้ทั้งหมด สิ่งนี้คือข้อพิสูจน์ว่า เราไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าออกมาให้ล้นตลาด และได้ราคาที่ต่ำไม่คุ้มกับค่าหยาดเหงื่อแรงงาน แต่เรานำความทุ่มเท และพยายาม มาใส่ลงในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และเราจะสามารถขายของได้ ไม่ว่าราคาของสิ่งนั้นจะเป็นเท่าไหร่ก็ตาม เพราะมันคุ้มกับเงินที่ต้องเสียไป

  ผักหมุนเวียนที่เราปลูกในฟาร์ม มีทั้งผักสวนครัวไทย และผักสลัดพันธุ์ต่างประเทศ รวมถึงต้นอ่อนต่างๆ การวางแผนการผลิต และการตลาดเราไม่สามารถบอกได้ว่าใช้อะไรนำ เพราะทั้ง 2 ส่วนนี้ต้องไปคู่กันเสมอ ถึงจะประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่สำคัญหลักๆคือการรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้า และน้อมรับคำติชม เพื่อนำมาปรับปรุงในกระบวนการผลิต และการจัดส่งต่อไป